BTC (บิทคอยน์) ในมือผู้ถือยุคบุกเบิก (ยุค Satoshi) เพิ่งถูกขายออกไป คิดเป็นมูลค่ากว่า 9 พันล้านดอลลาร์ สร้างกระแสความกังวล (FUD) เกี่ยวกับอนาคตของคริปโตเบอร์หนึ่งอีกครั้ง
สำหรับผู้ถือรุ่นแรกบางส่วน การที่สถาบันการเงินเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอาจดูขัดกับแนวคิดดั้งเดิมของ Bitcoin และนั่นอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการเทขาย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ถือ BTC ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ด้วยจุดแข็งคือความปลอดภัยของเครือข่าย และหลักการกระจายศูนย์ที่วางไว้ตั้งแต่ต้น
ล่าสุด ความปลอดภัยนั้นกำลังจะถูกยกระดับ ด้วยโปรเจกต์ใหม่ชื่อว่า Bitcoin Hyper (HYPER) ที่เปิดพรีเซลมาเพียงไม่ถึง 2 เดือน แต่ระดมทุนได้แล้วกว่า 5.5 ล้านดอลลาร์
นักลงทุนมองว่าโปรเจกต์นี้คือก้าวต่อไปที่จะทำให้เครือข่ายความปลอดภัยสูงนี้สามารถโปรแกรมได้ ขยายตัวได้ และเร็วระดับ Solana โดยตั้งเป้าให้บล็อกเชนที่ปลอดภัยที่สุดกลายเป็นเครือข่ายที่เร็วที่สุดด้วย
อย่างไรก็ตาม ราคา HYPER จะปรับขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละรอบพรีเซล
วาฬเทขาย BTC จุดกระแสถกเถียงอนาคตของคริปโต
Scott Melker นักวิเคราะห์ชื่อดังได้ออกมาเตือนหลัง Galaxy Digital (GLXY) ยืนยันว่ามีการขาย Bitcoin จำนวน 80,000 เหรียญจากกระเป๋ายุค Satoshi คิดเป็นมูลค่ากว่า 9 พันล้านดอลลาร์ จุดกระแสถกเถียงในวงการคริปโตทันที
Melker หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Wolf of All Streets บนแพลตฟอร์ม X ระบุว่า การที่สถาบันเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อาจเป็นแรงกดดันให้ผู้ถือรุ่นแรกตัดสินใจขายในที่สุด
และปฏิเสธไม่ได้ว่าสถาบันกำลังจับตา Bitcoin อย่างใกล้ชิด เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเพียงสองวัน กองทุน Bitcoin ETF ก็มีเงินไหลเข้าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ตลอดเดือนมีเพียง 3 วันเท่านั้นที่เงินไหลออก
ในหมู่สถาบัน Strategy ถือเป็นผู้นำที่โดดเด่น โดยล่าสุดบริษัทเดินเกมคล้ายการเคลื่อนไหวแบบตลาดเงิน ด้วยการออกหุ้นบุริมสิทธิ “Stretch” มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ พร้อมปันผลลอยตัว 9% เพื่อขยายแผนการระดมทุนเพื่อซื้อ Bitcoin เพิ่ม
Melker มองว่าความเคลื่อนไหวแบบนี้จากฝั่งสถาบันอาจทำให้ผู้ถือรุ่นบุกเบิกบางรายเริ่มไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าเหตุผลในการขายของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน และไม่จำเป็นต้องมาจากเรื่องอุดมการณ์เสมอไป
ด้าน Kyle Samani หุ้นส่วนจาก Multicoin Capital ก็ร่วมแสดงความเห็น โดยเชื่อว่าการเข้ามาของสถาบันไม่ได้เป็นการหักหลังหลักการของ Bitcoin แต่อย่างใด
ความจริงก็คือ จุดแข็งของ Bitcoin อยู่ที่การกระจายอำนาจอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ทำให้มันสามารถต้านทานการเซ็นเซอร์ได้
ตามที่ Samani ได้ชี้ให้เห็น ผู้ถือครองสามารถเข้ามาและจากไปได้ แต่ตัวโปรโตคอลยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงเสมอ เนื่องจากไม่มีบริษัทใดหรือแม้กระทั่งผู้สร้าง (ซึ่งยังไม่สามารถระบุตัวตนได้) มาควบคุมมันได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไม Bitcoin จึงยังคงอยู่รอดได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ใช้บางคนตั้งข้อสงสัยที่น่าสนใจว่า “เมื่อถึงวันที่รางวัลจากการขุดหมดลง และไม่มีใครทำธุรกรรมเลยเพราะทุกคนเลือกที่จะถือไว้แทน ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมจะมาจากไหน?”
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ Bitcoin Hyper (HYPER) มีบทบาทสำคัญในจุดนี้ โดยเป้าหมายคือการพัฒนา Bitcoin ให้ก้าวข้ามสถานะของการเป็นสินทรัพย์ที่ดูเหมือนหยุดนิ่งไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่มากกว่าเดิม